เอม ภูมิภัทร ถาวรศิริ

“ถ้าเรามองศัตรูด้วยความเข้าใจ เราอาจรู้วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะ” เอม – ภูมิภัทร ถาวรศิริ ผู้นิยามว่าตัวเองเป็นนักแสดงชายขอบ และกำลังเรียนรู้ที่จะเป็นพลเมืองที่มี empathy เท่าที่ทำได้

“ผมได้นอนมาประมาณ 2 ชั่วโมง”

ประโยคแรกๆ ที่ ‘เอม’ เอ่ยกับเราก่อนจะเริ่มการสัมภาษณ์ ก็พอจะทำให้เราเข้าใจสถานะของเขาวันนี้ว่า อาจมีอาการ ‘นอนน้อย’ ปรากฏให้เห็นได้

เอม – ภูมิภัทร ถาวรศิริ อาจจะเป็นชื่อที่คุ้นหูในวงการซีรีส์ – ภาพยนตร์ไทย ในฐานะนักแสดงรุ่นใหม่วัย 31 ปีที่น่าจับตามอง จากผลงานต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นบทรุ่นพี่สุดโหด ‘เค’ จากซีรีส์ ‘เด็กใหม่ (Girl from Nowhere) season 2’ บทนายทหารจากภาพยนตร์ขุนพันธ์ 3 หรือบทนักศึกษาหนุ่มที่พัวพันกับเหตุการณ์ลึกลับบางอย่างจากซีรีส์ Sleepless Society ตอน ลวง ละเมอ รัก

แต่ฝีมือการแสดงไม่ใช่แค่อย่างเดียวที่ทำให้คนรู้จักเอม เพราะเขาก็ถูกจัดเป็นกลุ่มคนมีชื่อเสียงไม่กี่คนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศนี้

แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เราชวนเอมมาคุยครั้งนี้ แม้ว่านี่จะเป็นประเด็นที่ออกจะล้าสมัย หรือโลกกำลังก้าวไปข้างหน้ามากๆ จนสิ่งเหล่านี้ไม่มีผลอีกต่อไปแล้ว แต่รับรองว่าเนื้อหาถัดจากนี้จะทำให้คุณได้รับมุมมองใหม่ๆ แน่นอน ถือว่าเป็นชีวิตของคนคนหนึ่งที่เป็นผลผลิตมาจากสภาพสังคมนี้ ไม่ว่าเราเป็นใคร ต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

ตอนนี้วงการบันเทิงกำลังมีนักแสดงที่เป็นคนเจเนอเรชันใหม่ขึ้นมารันวงการ เอมก็ดูท่าจะเป็นหนึ่งในนั้น คิดว่านักแสดงเจเนอเรชันเอมมีความเหมือน หรือแตกต่างจากรุ่นก่อนๆ 

ไม่รู้เลยจริงๆ เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างชายขอบกับการเป็นนักแสดงในเจเนอเรชันนี้ เรารู้สึกว่าไม่ใช่ตัวตึงของยุคสมัย เราจะอยู่ระดับล่างๆ เลยไม่สามารถตอบได้ว่านักแสดงยุคนี้เป็นยังไง เขาเหมือนหรือแตกต่างจากคนเจนก่อนไหม

คำว่า ‘ชายขอบ’ ที่เอมพูดถึง นิยามของมันเป็นยังไง?

(นิ่งคิด) ก็ไม่ใช่คนที่จะได้เค้กก้อนใหญ่ เป็นเมนูที่ขายไม่ดีเท่าเมนูอื่นๆ ในร้าน หรืออาจจะมีกาแฟหลายสายพันธุ์ให้เลือกในร้าน ผมก็อาจเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ชั้นล่างสุดรอถูกเขี่ยทิ้ง (หัวเราะ)

เอม – ภูมิภัทร ถาวรศิริ

เรารู้สึกยังไงกับสิ่งนี้  

เฉยๆ ครับ เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติแหละ เป็นเรื่องที่ธรรมชาติมากๆ แต่ถ้าสิ่งนี้มันเกิดจากเหตุผลที่ว่า สังคมไม่อนุญาตให้ทุกคนได้เข้าถึงโอกาส เรารู้สึกว่ามันก็น่าโมโห แต่ถ้าเกิดจากการที่เราห่วยแตกเอง ก็คงเป็นเรื่องของมึงแล้วล่ะ 

แต่เรารู้สึกว่าเยอะเหลือเกินที่เราเห็นคนล้มตายในอุตสาหกรรมนี้ เพราะว่าเขาไม่สามารถเข้าถึงโอกาสได้เท่ากับคนอื่นๆ

ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงไหม?

นักแสดง ผู้กำกับ และศิลปินอีกหลากหลายแขนงเลย ผมมีเพื่อนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้เยอะมาก แล้วผมก็เห็นคนเลิกทําทีละคนสองคน เห็นคนประสบความสำเร็จไม่ถึง 10% เห็นคนยอมแพ้ต่อความฝันตัวเองแล้วไปทําสิ่งอื่นๆ ที่มันทำได้จริง เป็นสิ่งที่ realistic มากกว่า ผมก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นในสักวัน (หัวเราะ)

แต่เราก็รู้สึกได้อีกอย่าง คือ ตอนนี้ทุกคนในอุตสาหกรรมทั้งฝั่งคนผลิตและคนเสพเองแข็งมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เหมือนทุกคนกำลังแข่งกันทํางานที่ดีออกมาเรื่อยๆ เพราะมันจะชอบมีประโยคที่ว่า “อย่าดูถูกผู้ชม” คนดูจะไม่ยอมโอนอ่อนหรือหยวนๆ ให้งานไม่มีคุณภาพอีกแล้ว ทำให้บางองค์ประกอบถ้าอยู่ในงานเมื่อ 10 ปีที่แล้วอาจจะโอเค แต่ทุกวันนี้ไม่ได้แล้ว ทุกคนก็ต้องแข่งในการเพิ่มคุณภาพงานไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องดีนะ 

ฝั่งนักแสดงก็เหมือนกัน เรารู้สึกว่านักแสดงก็พยายามที่จะทําลายข้อจํากัดตัวเองไปเรื่อยๆ บางคนเพิ่งอายุ 17 – 18 เอง แต่ว่าเขาเล่นดีสุดๆ ไปเลย ขณะที่ตอนผมอายุเท่าเขา ผมยังเข้าใจชีวิตไม่เท่าเขาเลย รู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น

มีเหตุผลอื่นๆ อีกไหม ที่ทำให้ฝั่งคนผลิตพยายามทำงานที่มีคุณภาพมากขึ้น

ผมว่าทุกคนต้องการทํางานที่มีคุณภาพอยู่แล้ว เป็นเป้าหมายแรกๆ เป็นบาร์ขั้นพื้นฐานเลยที่งานออกมาต้องมีคุณภาพที่ดีพอ คนที่อยู่จุดนี้ก็ควรคาดหวังสิ่งนี้เป็นอย่างน้อยที่สุดนะ 

แต่คำว่า ‘คุณภาพ’ ของแต่ละคนมันแตกต่างกัน เรารู้สึกว่ายิ่งเวลาผ่านไปในช่วงระยะหนึ่ง ก็จะเห็นงานที่มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เพดานในการทำงานตอนนี้ที่สูงขึ้นมากๆ สูงกว่า 3 – 4 ปีที่แล้วอีก

การเมืองก็เป็นวัตถุดิบหนึ่งที่ถูกนำมาใส่ในงานมากขึ้น ในมุมเอมคิดว่ามันถูกเล่าออกมาในรูปแบบไหนบ้าง

เรารู้สึกว่าเขาจะเล่าในส่วนที่เขาเห็นชัดที่สุด เช่น ซีรีส์เด็กมัธยมก็พูดถึงการเมืองภายในโรงเรียน เพราะจริงๆ สังคมก็คือการเมือง มันอยู่ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะพล็อตแบบไหน หรือเป็นสิ่งมีชีวิตมาจากดาวอะไรก็ตาม ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับการเมืองหมด เป็น Power Game 

หรือมันอาจจะเป็นอีกเกมหนึ่งของตลาดคนเขียนบทก็ได้ เพียงแต่ว่าเขาเลือกที่จะหยอดอะไรลงไป หรือเลือกที่จะเล่าอะไรในงานชิ้นนั้นๆ ถามว่ามีงานไหนที่ไม่การเมืองบ้าง? ผมไม่เห็นนะ แม้แต่งานที่เคลมตัวเองว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง มันก็เป็นการนิยามตัวเองว่าเป็นการเมืองอยู่ดี

แล้วในวงการบันเทิงละ มีการเมืองเป็นส่วนผสมด้วยไหม?

จริงๆ กองถ่ายกองหนึ่งคือภาพจําลองของโลกใบนี้เลยนะ มันคือโลกย่อส่วน เราเห็นลำดับชั้นที่กลายเป็นเรื่องปกติมากๆ

เอมอยู่ชั้นไหน?

ล่างสุด แต่ถ้าในกองถ่ายเราอยู่บนเพราะเป็นนักแสดง ซึ่งคุณเลือกไม่ได้เพราะเขาจะผลักคุณขึ้นไปข้างบนอยู่แล้ว จริงๆ ผมชอบการทำงานที่เป็นทีมมากกว่า แต่ว่ามันเป็นไม่ได้ ยังไงก็มีการแยกชั้นอยู่ดี มีบนสุดล่างสุด 

เออ มันก็น่ารําคาญนะที่เห็นสิ่งนี้ ผมก็พยายามทําให้มันดูน่าเกลียดน้อยที่สุด หมายถึงพยายามที่จะบีบมันลงมา หรือพยายามจะมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะทําได้

สิ่งไหนในกองถ่ายที่ทําให้เอมรับรู้ได้ว่ามันมีการวางลำดับชั้น

พักเที่ยงทานข้าวก็จะมีโต๊ะของนักแสดงและผู้กำกับ โต๊ะของลูกค้า กับข้าวจะเป็นคนละแบบกับโต๊ะของทีมงาน หรือคนที่เป็นเอ็กซ์ตร้าไม่สามารถดื่มน้ําพิเศษได้ ดื่มได้แค่น้ําเปล่า

(นิ่งคิด) เรารู้สึกว่าในวันนี้เรายังเปลี่ยนสิ่งนี้ไม่ได้ มันกลายเป็นธรรมชาติของงาน สิ่งที่เราทําได้คือเราแค่อยู่คนเดียวให้ได้ โดยธรรมชาติผมจะชอบอยู่คนเดียวเวลาทํางาน ฉะนั้น เวลาออกกองก็จะอยากอยู่กับตัวเอง ผมไม่ต้องการเก้าอี้โซฟาอะไร นั่งที่พื้นก็ได้ หรือนั่งเก้าอี้แดงแบบที่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวก็ได้อันนี้ชอบมาก ขอแค่ได้อยู่คนเดียว 

จริงๆ มันก็มีพริวิเลจบางอย่างของการเป็นนักแสดงในกองถ่าย ซึ่งคนที่แฮปปี้กับสิ่งนี้ผมก็แฮปปี้กับเขา เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ สิ่งที่เขาต้องการเพื่อที่จะถ่ายทอดงานตัวเองออกมาได้ เพราะผมก็มีสิ่งที่ตัวเองต้องการ ผมต้องการนั่งเก้าอี้แดงคนเดียว ทำให้ถ้าจะพูดเรื่องนี้มันต้องพูดให้ครบและคลุม ถามว่ามันคือเรื่องแย่ไหม? มันคือเรื่องแย่ การมีลำดับชั้นชัดเจนขนาดนี้ในทุกครั้งของการทํางาน 

ที่ต่างประเทศก็กำลังมีการเคลื่อนไหว แรงงานในอุตสาหกรรมบันเทิงออกมาประท้วงเรียกร้องการทำงานที่เป็นธรรม เอมว่าในไทยมีโอกาสเกิดไหม?

ผมอาจจะไม่ใช่คนที่เชื่อในการก๊อปแปะ ก๊อปวิธีการเขามาใช้ เราอาจจะคานอํานาจหรือต่อรองได้ แต่ไม่ใช่วิธีการเดียวกับเขา เรารู้สึกว่าแต่ละที่มีวิธีการต่อสู้ของตัวเอง ถ้ามันจะเกิดขึ้นที่นี่ ผมคิดว่ามันจะไม่ใช่การที่ทุกคนลุกฮือขึ้นมา อาจจะเป็น compromise game การประนีประนอมมากกว่า เป็นธรรมชาติของที่นี่นะ 

แต่ผมก็พูดอะไรมากไม่ได้หรอก เพราะว่ามันก็เป็นวิธีการต่อสู้ของแต่ละคน บางคนอาจต้องการจัดการให้เด็ดขาดไปเลยก็ได้ ส่วนเราก็เชื่อในวิธีนี้

การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองกับคนวงการบันเทิงก็เป็นอีกประเด็นที่ถกเถียงมาตลอด ณ วันนี้อาจไม่ใช่แค่การถกเถียงว่าควรออกมาหรือไม่ แต่คือการแสดงออกที่ต้องทำมากกว่าแค่พิมพ์อะไรบางอย่าง แต่นักแสดงหรือคนในวงการก็เป็นพลเมืองคนหนึ่งที่มีความคิดเห็นของตัวเอง การแสดงออกอาจไม่ตรงกับความคิดของคนที่ตามเขาบางส่วน เอมในฐานะที่เป็นนักแสดง คิดว่าเราควรมองนักแสดงที่ออกมาพูดเรื่องต่างๆ ด้วนเลนส์พลเมือง หรือนักแสดง

ส่วนตัวผมรู้สึกว่านักแสดง หรือคนที่มีเสียงที่ดังกว่าคนอื่น สิ่งนี้มันสําคัญอยู่แล้วที่คุณจะใช้เสียงตัวเองพูดเรื่องที่มันสามารถช่วยคนอื่นได้ เรื่องที่ทำให้สังคมตระหนักรู้ มันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ และควรจะทําด้วย แต่ก็ต้องทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อนะ คุณเชื่อแบบไหนคุณก็แสดงออกมา 

ถามว่าควรมองการแสดงออกในฐานะไหน? ผมคิดว่าพลเมืองนะ เพราะนักแสดงมันคือสถานะที่อยู่ในกองถ่าย แต่ ณ จังหวะที่เราพูดเรื่องอื่นๆ เราก็ควรจะใส่แว่นของพลเมืองของเขามั้งนะ แต่แน่นอนเขาไม่สามารถสลัดความเป็นนักแสดงที่อยู่ในตัวเขาได้ ถ้ายิ่งเป็นเบอร์ใหญ่ด้วยนะ

แต่นักแสดงก็คือพลเมือง สุดท้ายคุณก็เป็นยูนิตหนึ่งของสังคม และผมเชื่อว่าปัญหาของใครสักคนในสังคม มันคือปัญหาของทั้งสังคมด้วยเว้ย คุณไม่สามารถอิกนอร์สิ่งนี้ได้ คุณไม่สามารถสร้างรั้วล้อมบ้านตัวเองเพื่อบังทุกอย่าง กูไม่เห็นๆ ไม่มีทาง หรือมันคงทําได้แหละ แต่คุณก็จะเป็นบ้านหลังเดียวที่สวยที่สุดท่ามกลางซากปรักหักพัง ตัวเราก็อาจจะไม่อยากเห็นภาพนั้นด้วยมั้ง

แต่นักแสดงก็เป็นคน แต่ละคนมีความคิดเห็นของตัวเอง สุดท้ายมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะพูดหรือไม่พูดก็ได้ เราต้องไม่ลืมสิ่งนี้ เราไม่สามารถยัดคําพูดไปที่ปากใครแล้วให้พ่นออกมา บางคนเขาก็มีภาระที่ถ้าพูดสิ่งนี้ออกไป คนรอบตัวเขาอาจจะไม่มีกินตัวเองก็เป็นไปได้ แต่เราก็เข้าใจความโกรธของสังคมที่มันบ่มเพาะมาจนถึงกระทั่งว่า มึงต้องพูดให้กูได้แล้ว มึงต้องแชร์สิ่งนี้กับพวกกูได้แล้ว เราเข้าใจ เราถึงไม่โทษใครเลย เราโทษสถานการณ์ที่มันบีบบังคับให้คนเรามี empathy (ความเห็นอกเห็นใจ) ต่อกันน้อย 

เอมบอกว่าตัวเองเป็นนักแสดงชายขอบ แล้วในฐานะพลเมืองละ รู้สึกว่าเป็นพลเมืองชายขอบด้วยไหม?

เป็นชนชั้นกลางครับ ผมโชคดีกว่าหลายคนมากๆ ในประเทศนี้ ผมยังมีคนซื้อของให้กิน ยังไม่ต้องกังวลว่ามื้อต่อไปเราจะกินอะไร แต่บางคนไม่มี

‘ชนชั้นกลาง’ ตรงตามชื่อของมันก็คือคนที่อยู่กึ่งกลาง ระหว่างคนข้างบนที่สถานะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ กับข้างล่างที่สถานะลงมาเรื่อยๆ แล้วก็กลายเป็นกลุ่มที่ถูกมองว่าเป็นพวกอิกนอร์สูงเหมือนกัน เอมอยู่กับสถานะนี้อย่างไร

ผมว่าสิ่งที่น่ากลัว คือ การเห็นศัตรูเป็นปีศาจ ซึ่งมันไม่ใช่ หรือมันคงจะมีแหละปีศาจที่เป็นศัตรูของเราจริงๆ แต่บางคนก็เป็นผลผลิตของระบบ โดยเนื้อแท้เขาไม่ได้เลวร้าย เขาเป็นผลผลิตของยุคสมัยหนึ่ง แต่หัวจิตหัวใจเขาจริงๆ เขาก็เป็นคน 

ผมว่าการมองศัตรู ถ้าเรามองด้วยความเข้าใจ ความ empathy เราจะเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างเพิ่มขึ้นมากๆ แล้วเราอาจจะรู้วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะก็ได้ แต่ผมก็เข้าใจว่า มันยากเหลือเกินที่จะมองศัตรูด้วยความเข้าใจ จากสิ่งที่เราโดนกระทําจากเขา

เป็นสิ่งที่ยากมากการมี empathy ในทุกๆ วันนี้ สังคมเราเหมือนถูกสร้างด้วยระบบนิเวศที่ทําให้คนแม่งเหลือ empathy ต่อกันน้อยมากๆ ทําให้เรามองเห็นกันและกันเป็นศัตรู คนพร้อมจะห้ำหั่น พร้อมจะฆ่ากันตลอดเวลา

เอมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มี empathy ไหม?

แล้วแต่เคส ผมก็ต้องคอยเตือนตัวเองแหละ มันเป็นเรื่องของ Self-awareness (การตระหนักรู้ตัวเอง) ว่าตัวเรามีมากน้อยแค่ไหน เราก็ตระหนักรู้ได้แค่ช่วงเวลาที่เรารู้ตัว ส่วนช่วงเวลาที่เราไม่รู้ตัว ก็ไม่รู้เหมือนกันจะเป็นยังไง แต่เราก็พยายามที่จะมีให้ได้มากขึ้น แต่เอาจริงๆ ผมไม่เคยเกลียดชังใครเลยนะ 

‘เกลียดชัง’ สำหรับเอมคืออะไร 

นั่นน่ะสิ (นิ่งคิด) ไม่เคยรู้สึกว่าอยากให้คนคนนี้ตายอย่างทรมานมั้ง 

นี่เป็นการตั้งเป้าหมายด้วยไหม เพราะเราก็จะมีคนแบบที่เราอยากเป็น เอมอาจจะอยากเป็นคนที่ไม่เกลียดใครเลย

ผมไม่ได้ตั้งเป้านะ แค่ธรรมชาติเราไม่ใช่คนแบบนั้น หรือจริงๆ อาจจะแย่กว่านั้นก็ได้นะ ผมอาจจะอยากให้เขาทรมานจนกว่าเขาจะตายไปเอง แต่เราก็เชื่อว่าถ้าเกิดเราเห็นสิ่งนั้นจริงๆ เราก็อยากจะพอละ หยุดเถอะ คือเราก็ไม่อยากเห็นใครทุกข์ทรมาน แม้ว่าจะเป็นคนที่ทําสิ่งที่เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม 

อ่านเจอบทสัมภาษณ์หนึ่งที่เอมบอกว่าบทที่เล่นง่าย คือ บทตัวละครที่ถูกกระทำ เพราะเรารู้สึกถึงความเชื่อมโยง 

ใช่ เวลาเราไปทําคนอื่นมันจะยากกว่านะ แต่ให้ทำก็ทําได้นะ เพราะว่าเราก็เคยทั้งเห็นสองอย่างนี้ เราเคยโดนกระทำ แล้วเราก็เคยเห็นคนที่กระทำ มันสลับได้ไม่ยาก

จำประสบการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นคนถูกกระทำได้ไหม?

ตั้งแต่เกิดเลย ไม่เคยออกจากสถานะนี้ ไม่รู้มันเป็นการโทษตัวเองหรือคนอื่น ก็ไม่รู้นะ หรือมันเป็นการโทษว่าโลกนี้ใจร้ายกับกูเหลือเกินก็ได้

ถ้ามีเอมในจักรวาลอื่นที่อยู่ในประเทศไทยเหมือนกัน แต่เป็นประเทศไทยที่มีสภาพคนละแบบกับจักรวาลนี้ เอมคนนั้นจะเป็นอย่างไร

ไม่รู้เหมือนกันนะ ผมก็มองตัวเองไม่ออก ถ้าให้มองในแง่ดีก็คงเป็นคนที่ดีและมีความสุขกว่านี้มั้ง อาจจะยังทํางานศิลปะหรืองานแสดงอยู่ ส่วนมีเรื่องทุกข์ไหม? ก็คงมีเป็นเรื่องอื่น จริงๆ ผมก็เคยลองคิดนะว่า มนุษย์ยุคหินจะมีความสุขมากกว่าเราตอนนี้ไหม ยุคที่เรายังหาของป่าล่าสัตว์กันอยู่ แต่เราก็รู้สึกว่าสิ่งนี้มันวัดไม่ได้ มาตรวัดความสุขของคนแตกต่างกัน แล้วคิดว่าเขาจะมีความทุกข์ไหม?

อาจจะมีความทุกข์ในแง่ความอิจฉา เพราะความอิจฉาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทําให้เราไม่มีความสุข อย่างเช่นบ้านนี้ล่าสัตว์ได้มากกว่าฉัน 

นั่นแหละ งั้นแปลว่าเราจะไม่มีวันหลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่ว่าจะอยู่ในจักรวาลไหนก็ตาม หรืออยู่ในสภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคมดีแค่ไหนก็ตาม เราก็จะขยับไปหาความทุกข์ใหม่เรื่อยๆ ผมอ่านหนังสือเซเปียนส์ (Sapiens) เจอเขาบอกว่า ทุกวันนี้เราเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย มากกว่าโรคภัยธรรมชาติด้วยซ้ำ

สุดท้ายความทุกข์มันเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการเป็นคนอยู่แล้ว เราก็เลยคิดว่าตัวเราในจักรวาลนั้นอาจจะไม่แตกต่างมาก เราก็คงขยันในการหาความทุกข์ใหม่ใส่ตัวเองเรื่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในจักรวาลไหนก็ตาม

คําว่า ‘แสดง’ มีความหมายอย่างไรสำหรับเอม

sincere (จริงใจ) เพราะถ้าคุณจะแสดงออกมาได้ คุณต้อง sincere ก่อน มันไม่ใช่การโกหกนะ คนชอบบอกว่า “อย่ามาแสดง อย่ามาโกหก” การแสดงสำหรับผมไม่ใช่การโกหก มันคือการจริงใจต่อความรู้สึกตัวเอง ถ้าแสดงแล้วโกหกมันก็จับได้ หรือถ้าจะโกหกให้ดี คุณก็ต้องจริงใจกับคำโกหกนั้นเช่นกัน ก็จะเป็นความยากอย่างหนึ่ง เช่น จะโกหกว่าเรารักกันจนวันตาย ไม่มีวันปล่อยมือแน่นอน คุณก็ต้องจริงใจ ต้องพูดสิ่งนั้นอย่างเชื่อมากพอที่คุณจะหลอกใครสักคนได้ 

การแสดงสำหรับผมมันคือความจริงใจ บางครั้งผมซื่อสัตย์กับตัวเองในซีนมากกว่าในชีวิตจริงซะอีก ซึ่งผมว่านักแสดงหลายคนก็เป็น เพราะเขาไม่สามารถเป็นตัวเองในชีวิตจริงได้เท่าที่เป็นในซีน มันเป็นโลกที่วิเศษมากจริงๆ

แต่นักแสดงไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่จริงใจก็ได้ในความรู้สึกของผมนะ แค่ทำให้ทีมให้ทั้งเซตเชื่อก็พอ ให้ภาพที่ออกมาแม่งทำให้คนดูเชื่อได้ก็พอ แต่ตัวเราจริงๆ จะเป็นคนงี่เง่า ชอบแคะขี้มูก ถุยน้ำลายก็ได้ คุณจะเป็นคนแบบไหนก็ได้ ถ้างานออกมาดีก็คืองานที่ดี  คุณก็จะเป็นนักแสดงที่ดี แต่อาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่แย่หน่อย (ยิ้ม)

เคยอ่านเจอว่านักแสดงบางคนก็ใช้การแสดงเพื่อหนีโลกแห่งความเป็นจริง ได้ลบตัวตนออกไปช่วงเวลาหนึ่ง ไปเป็นคนอื่นแทน

ใช่ เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งของอาชีพนี้ มันเป็นพื้นที่ที่แสนวิเศษของคนคนหนึ่งที่ได้หนีความเป็นจริง อาจจะเป็นอาชีพเดียวเลยมั้งที่ได้อยู่ในหลายโลกเหลือเกิน ได้ไปลองใช้ชีวิตคนอื่น ได้หายจากโลกนี้สัก 8 นาที 20 นาทีต่อวัน

เอมอยู่ในวงการนี้มาเกือบ 5 ปีแล้ว ถ้าเทียบกับคนคนหนึ่ง เขาจะเป็นคนแบบไหน? 

เป็นคนจนที่เงินเดือนชนเดือน กินแต่ของไม่มีประโยชน์ ไม่มีเงินซื้ออาหารดีๆ อยู่ห้องเล็กๆ เสื้อผ้าใส่อยู่ชุดเดียว เศร้าไปป่ะวะ (หัวเราะ) ก็เป็นคนปกติแหละมั้ง เราแค่รู้สึกว่าเราแก่ขึ้นเยอะมาก ความสนุกมันน้อยลง ความใหม่น้อยลง แต่มันก็มีด้านดีนะ เพราะว่าถ้ามันอยู่เท่าเดิมก็อาจจะน่ากลัว มันต้องเปลี่ยนบ้าง ถ้าเป็นกราฟเราก็หวังว่ามันก็จะกลับมาขึ้นอีก ตอนนี้เราเห็นขาลงเรื่อยๆ ต้องรอดูว่ามันจะลงไปถึงล่างสุดหรือยัง 

ถ้าในอีก 2 – 3 ปี สถานะในวงการของเราเปลี่ยน อาจจะมีชื่อเสียงมากกว่าตอนนี้ แสดงเป็นตัวละครนำ เอมคิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปด้วยไหม

2 – 3 ปีเองเหรอ เร็วจัง (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดีนะ แล้วผมก็ไม่ได้ห้ามตัวเองว่ามึงห้ามเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด ต้องมีความคิดแบบนี้ไปจนวันตาย นั่นไม่ใช่ธรรมชาติของจักรวาลนี้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนได้หมด แล้วเราควรจะยินดีกับการเปลี่ยนแปลง พรุ่งนี้ผมอาจจะไม่มีงานเลยก็ได้ หรือผมอาจจะเล่นแย่ลงทุกวันๆ มันก็อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ 

เพียงแต่ว่าเราต้องยอมรับว่าเราเปลี่ยนไปแล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่ยาก แล้วเราก็ห้ามโกหกตัวเอง เพราะนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด การยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงมันเป็นกระบวนการที่เจ็บปวด มันคือการยอมรับว่ากูไม่ใช่สิ่งที่กูเคยเป็นอีกแล้ว และสิ่งที่กูกําลังจะเป็นต่อไป มันก็ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เพราะกูไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต กูไม่รู้กูจะกลายเป็นคนแบบไหน โตไปมีความคิดยังไง แค่นั่งคิดผมก็กลัวแล้ว แต่สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าเราเปลี่ยนไปแล้วนะ