ไม่จำเป็นต้องวิ่งให้ทันใคร แต่ทุกคนมีจังหวะเป็นของตัวเอง : DREAM

“ผมคงเกิดมาเพื่อเป็นได้แค่ที่สองสินะ”

ตั้งแต่เกิดมา ชีวิตของ ‘ฮงแด’ นักฟุตบอลดาวรุ่งไม่เคยเป็นที่หนึ่งเลยสักครั้ง ขนาดวิ่งบนสนาม เขายังวิ่งไม่ทันเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเลย  แล้วในฐานะลูก แม่ยังจัดลำดับความสำคัญให้ลูกชายคนนี้ไว้อันดับสามหรือสี่อีก

นั่นจึงทำให้วันที่แม่แท้ๆ ของเขาต้องไปใช้ชีวิตในคุก ฮงแดเลยตัดสินใจบอกเธอบอกว่า ให้ต่างคนต่างอยู่ ถึงอย่างนั้น ฮงแดก็ยังรักแม่ของเขาที่สุด

เพราะชีวิตของเขาที่ต้องจับพลัดจับผลูมาเป็นโค้ชให้ทีมฟุตบอลคนไร้บ้าน เหตุผลหลักๆ ก็มาจากการถูกนักข่าวถามจี้จุดเรื่องแม่ ทำให้เขาต้องมากู้ภาพลักษณ์ให้ตัวเองผ่านสารคดี

ถึงจะมาเป็นโค้ชแบบไม่ตั้งใจ แต่สิ่งที่ฮงแดเห็น คือ ความตั้งใจในการฝึกซ้อมของนักฟุตบอลทุกคน ถึงจะโมโหใจร้อน เตะพลาดกันไปบ้าง แต่คนไร้บ้านที่ลงเตะทุกคนมีความฝันเดียวกัน คือ การเป็นนักฟุตบอล เก็บเงิน แล้วกลับ ‘บ้าน’ ของตัวเองอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็น ‘คิมอินซอน’ นักเตะกองหน้าที่อยากเจอคนรักของเขาอีกครั้ง ‘คุณลุงฮโยบง’ ที่อยากจะใช้เวลากับลูกสาว หรือ ‘ลุงฮวานดง’ ที่อยากกลับไปเป็นพ่อของลูกและตาของหลานให้ได้ ยังไม่รวม ‘บอมซู’ ที่อยากจะเป็นผู้ชายเท่ๆ ของผู้หญิงที่รัก

ต่างคนต่างที่มาจึงมารวมกันเป็นทีมฟุตบอล ‘บิ๊ก อิชชู่’ 

ทีมฟุตบอลที่มีแต่คนเล่น แต่ยังไม่มีทุนเพราะถูกตัดขาดจากสปอนเซอร์อย่างกระทันหัน

“อันที่จริง ภาพลักษณ์ของคนจรจัดถือว่าสกปรกและตัวเหม็น เราไม่แน่ใจว่า ถ้าเป็นสปอนเซอร์ให้ แล้วลูกค้าจะมีปฏิกิริยายังไง” เจ้าของสปอนเซอร์บอกปฏิเสธกับฮวังอินกุก ผู้จัดการทีม

“ถ้างั้นช่วยบริจาคแบบไม่ออกนามได้ไหมครับ” ผู้จัดการทีมยังสู้เพื่อความอยู่รอด

“ทำไมเราต้องทำอย่างนั้นล่ะครับ” เจ้าของสปอนเซอร์ปฏิเสธคำขาด ทำให้อินกุกหน้าถอดสีและตัดสินใจยอมแพ้

ก่อนเดินจากไป อินกุกก็หันไปพูดกับเจ้าของสปอนเซอร์เป็นครั้งสุดท้ายว่า “แต่คุณครับ อันที่จริงคนที่สกปรกหรือตัวเหม็นมีน้อยมากครับ คุณถามว่าทำไมถึงทำงานนี้ ต้องทำสิ มีอะไรรับประกันว่า เราจะไม่มีวันตกต่ำจนต้องระเห็จไปนอนข้างถนนเหรอ การมีหน่วยงานที่จะช่วยคุณได้เป็นเรื่องที่ดีนี่ครับ จะว่าไปก็เป็นการทำเพื่อตัวเองเหมือนกันเลยเป็นสิ่งที่ควรทำไงครับ”

ในชีวิตคนเรา ไม่มีอะไรที่จะการันตีความมั่นคงในชีวิตเราได้ ฮวังอินกุกก็คงคิดแบบนั้น จึงทำให้เขายังเลือกที่จะดันนักฟุตบอลคนไร้บ้านทุกคนไปให้ถึงฝัน ถึงจะแพ้ก็ไม่เป็นไร

เพราะความผูกพันและความเป็นหนึ่งเดียวที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในทีมฟุตบอลเล็กๆ นี้ วันที่ฮงแดโดนสังคมตราหน้าว่าเป็นคนรุนแรง หลังจากทำร้ายร่างกายแก๊งวัยรุ่นที่เข้ามารังแกคนรักของบอมซู สมาชิกของบิ๊ก อิชชู่เลยเป็นห่วงโค้ชของพวกเขามากกว่าใคร รวมถึงคิมจางรยอล เพื่อนร่วมทีมที่เห็นความพยายามมาตลอดของฮงแดในฐานะนักฟุตบอลมืออาชีพ

“คุณเป็นโปรดิวเซอร์รายการ คุณสามารถทำให้ทั้งโลกเห็นได้ว่า ฮงแดเป็นคนแบบไหนนี่ครับ” จางรยอลบอกกับอีโซมิน โปรดิวเซอร์สารคดีที่ฮงแดต้องไปออกเพื่อกู้ชีวิตตัวเอง

“ฉันไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” โซมินตอบกลับ

“ไอ้หมอนั่น ทำเป็นไม่สนเรื่องฟุตบอลแล้ว คุยโวไปทั่วว่าจะไปเป็นดารา คนอื่นคงคิดว่าเขาไม่ขยันซ้อม แต่ฮงแดฝึกซ้อมส่วนตัวหนักกว่าใครๆ เลย” จางรยอลพูดตามจริง

ก่อนจะพูดต่อว่า “คำพูดที่ว่าพรสวรรค์หรือจะสู้พรแสวง มันไม่จริงเลยครับ นักกีฬาก็เคยรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ต่อให้วิ่งจนสุดแรงเกิด แต่ก็ยังตามหลังคนที่วิ่งอยู่ข้างหน้า การวิ่งตามคนข้างหน้าไม่ทันไม่ได้แปลว่าไร้ความสามารถ แต่ถ้ามีคนตามไม่ทัน ก็ต้องช่วยดึงเขาขึ้นมา ฟุตบอลไม่ได้เล่นแค่คนที่วิ่งนำสักหน่อย”

สำหรับฮงแดแล้ว เขาอาจจะท้อแท้ แต่มันก็ไม่ทำให้เขายอมแพ้ 

วันที่ทีมบิ๊ก อิชชู่ หมดแรงในช่วงเวลาพักครึ่ง  สู้ต่อไม่ไหว เพราะโดนนำครั้งแล้วครั้งเล่า ระหว่างศึกการแข่งขันฟุตบอลโลกของคนไร้บ้าน ฮงแด คือ คนที่ทำให้ทุกคนมีแรงใจกลับมาสู้และเต็มที่กับการแข่งขันอีกครั้ง

“ที่ตรงนี้ มีใครมาที่นี่เพราะอยากชนะไหมครับ ถ้าหากคุณชนะหนึ่งครั้ง สองครั้ง ได้กี่ประตูต่อกี่ประตู สิ่งที่หลงเหลือเอาไว้ก็คือตัวเลขพวกนั้น แต่เราจะเอามันไปใช้ทำอะไรเหรอ เราจะเอาสถิติพวกนั้นไปขอขึ้นเงินเดือนหรอ เรามาเพื่อบันทึกสถิติหรือว่ามาเพื่อสร้างความทรงจำ เรื่องนั้นผู้เล่นทุกคนเป็นคนตัดสินใจครับ”

คำพูดจากฮงแด ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ห้วนมากๆ แต่กลับทำให้ผู้เล่นที่นั่งฟังตาเป็นประกาย ย้อนกลับไปคิดถึงเป้าหมายที่ทำให้พวกเขาเลือกมาเล่นฟุตบอล

“ผมไม่อยากออกจากสนาม” อินซอนบอก

“ฉันต้องแสดงให้อึนฮเยของฉันได้เห็นด้วยว่าพ่อทำได้” ฮโยบงบอก

“ฉันเป็นนักเลงมาทั้งชีวิต จากนี้ฉันจะใช้ชีวิตด้วยการเตะฟุตบอล” มุนซู มือโกลบอก

และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้คว้าถ้วยรางวัลชนะเลิศ แตได้รางวัลทีมฟุตบอลหน้าใหม่ปี 2010 มาแทน พวกเขาก็ไม่เสียใจ เพราะตลอดการแข่ง ไม่ได้มีใครวิ่งนำใคร แต่ทุกคนวิ่งพร้อมกับล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน

ความยาว 2 ชั่วโมง 7 นาทีของหนังที่สะท้อนการรวมพลังของทีมบิ๊กอิชชู่บอกเราว่า เราไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองที่เป็นได้แค่ที่สอง หรือวิ่งไม่ทันใคร เพราะทุกคนมีจังหวะการวิ่งเป็นของตัวเอง

ท่ามกลางผู้คนที่เข้าใจตัวตนความเป็นเรา 

เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ดูภาพยนตร์ได้ที่ Netflix