ฟลอริดา เมืองที่ห้ามพูดว่าเกย์ในห้องเรียน ปิดกั้นการข้ามเพศ และเป็นเมืองที่ LGBTQ ไม่เที่ยว

ปี 2023 สหรัฐอเมริกากำลังรอการเซ็นร่างกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิของ LGBTQ ของคนรุ่นใหม่อีก 120 ฉบับใน 22 เขต และมีแนวโน้มมากขึ้นในรอบสองปีที่ผ่านมา

ยกตัวอย่างเช่น  เท็กซัส (Texas) รออีก 36 ฉบับ และรัฐมิสซูรี (Missouri) อีก 26 ฉบับ รวมถึงฟลอริดาที่เพิ่งมีการพูดถึงร่างกฎหมายแบนชาว LGBTQ มาตั้งแต่ปีที่แล้ว

ซึ่งนั่นก็คือ ร่างกฎหมาย ‘Don’t Say Gay’ กฎหมายที่ห้ามพูดเรื่องเพศในห้องเรียน ทั้งเรื่องวิถีเพศและอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองในชั้นเรียนของเด็กประถมศึกษาปีที่ 3 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นที่โตกว่าจะต้องสอนเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัย หากผู้ปกครองพบว่ามีการละเมิดและไม่เหมาะสม สามารถฟ้องร้องเขตการศึกษาได้ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กันยายน 2022

และล่าสุด สภาเขตฟลอริดาขยายขอบเขตการห้ามพูดเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 4 ไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

ซึ่งในมุมของนักจิตวิทยาเด็ก บัท ฮานลีย์ (But Hanley) แสดงความกังวลว่า กฎหมายที่ตีตราความหลากหลายทางเพศส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งปกติเด็กเหล่านี้มีแนวโน้มและความเสี่ยงถูกรังแก และการฆ่าตัวตายมากกว่าเด็กเพศหญิงและเพศชายมากอยู่แล้ว

ส่วนลอรา แอนเดอร์สัน (Laura Anderson) นักจิตวิทยาเด็กและครอบครัว ผู้สนใจเรื่องความหลากหลายทางเพศอธิบายเสริมว่า กฎหมายและข้อห้ามที่เกิดขึ้นในฟลอริดาถือเป็นการปิดกั้นการค้นหาตัวตนของเด็กและยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยให้กับเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศด้วย 

นอกจากนั้นการปิดกั้นเรื่องเพศ ยังทำให้มีร่างกฎหมายที่รอการเซ็นลงนามจากนายกเทศมนตรีฟลอริดาซี่งระบุให้มีการลงโทษบุคคลที่เข้าห้องน้ำไม่ตรงกับเพศกำเนิด และเปลี่ยนห้องน้ำในอาคารของภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย และศูนย์กักกันให้เหลือเพียงสองเพศเท่านั้น ที่สำคัญคนใช้บริการต้องเดินเข้าให้ตรงกับเพศกำเนิดของตัวเองตั้งแต่เกิด

รวมถึงมาตรฐานเรื่องเพศนี้ส่งผลให้มีร่างกฎหมายการแบนเรื่องการแปลงเพศในกลุ่ม LGBTQ ทุกวัยอีกด้วย โดยกฎหมายฉบับนี้จะยังยอมรับเรื่องการข้ามเพศจนถึงสิ้นปี 2023 นี้ แต่หลังจากนี้หากแพทย์คนไหนละเมิดสิ่งที่กฎหมายระบุไว้จะต้องรับผิดทางอาญา

ชีวิตที่มืดแปดด้านและเต็มไปด้วยกำแพงทางกฎหมาย เพราะกฎหมายต่างๆ ที่ปิดกั้นชีวิต LGBTQ นั้นจะถูกเขียนไว้ในพิมพ์เขียวของฟลอริดาสำหรับการเลือกตั้งในปีหน้า และสิ่งเหล่านี้ทำให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศอยากย้ายออกจากเมือง

“ฉันไม่สามารถอยู่ในฟลอริดาต่อไปได้” 

เดนนิส (Dennis) คนข้ามเพศในฟลอริดาเล่าว่า เธอมีลูก 2 คน และตั้งใจว่าจะไม่กำหนดเพศให้ลูกว่าต้องเป็นเพศไหน เขาอยากเป็นอะไรก็ได้ แต่กฎหมายที่ผลักครอบครัวไปอยู่ริมผา ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีการคุ้มครอง ทำให้เธอคิดว่าเธอคงอยู่ฟลอริดาต่อไปไม่ได้

เพราะที่นี่เธอ คือ คนนอกและรู้สึกไม่ปลอดภัย

หากจะมองให้ลึกลงไปอีก เหตุผลที่ทำให้ฟลอริดาเมืองที่เคยถูกขนานนามว่าเป็นเมืองของความอิสระ แปลกและเต็มไปด้วยคนเพี้ยนๆ กลายเป็นเมืองที่กลุ่ม LGBTQ เลี่ยงมาท่องเที่ยวและใช้ชีวิตท่ามกลางการปิดกั้นอิสระ คือ รอน เดอซานติส (Ron Desantis) ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาจากพรรครีพับลิกัน 

“เดอซานติสใช้จุดยืนของเขาในการสานต่อแนวคิด ความเกลียดชัง และการเลือกปฏิบัติให้เป็นกฎหมายมหาชนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของเขาเอง” เคลลี่ โรบินสัน (Kelly Robinson) ประธานมูลนิธิรณรงค์สิทธิมนุษยชนของสหรัฐอเมริกาอธิบายเพิ่มเติม

เพราะก่อนหน้านี้ เดอซานติสเคยมีประเด็นการใช้คำพูดที่แสดงถึงการเลือกปฏิบัติกับคนชายขอบ รวมถึงยังเซ็นอนุมัติการแบนเรื่องทำแท้งปลอดภัยในผู้หญิงด้วย

สิ่งที่เกิดขึ้นในฟลอริดาอาจเป็นภาพสะท้อนว่า สำหรับชีวิตของ LGBTQ และในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง พวกเขาอาจไม่ต้องการอะไรมากมาย นอกจากผู้นำที่เข้าใจและปลดปล่อยชีวิตที่อิสระให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

มีคนที่เขารักและคนที่รับฟัง แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนส่วนน้อยในสังคมก็ตาม

อ้างอิง