พวกเราต่างเป็นกระเบนราหูที่แหวกว่ายเข้าหาแสงไฟและใครสักคน

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์

ณ ป่าโกงกางทางออกสู่ทะเล ชาวประมงคนหนึ่งพบเจอร่างของมนุษย์ที่กำลังนอนจมกองเลือด เขาพยุงร่างนั้นกลับมาที่บ้านเพื่อทำแผล เช้าสองวันต่อมา เขาคนนั้นลืมตาขึ้น ชาวประมงจึงไถ่ถามชื่อเพื่อทำความรู้จัก แต่สิ่งที่อีกฝ่ายตอบมา มีเพียงรอยยิ้มเล็กๆ พร้อมกับพยักหน้า 

“ถ้านายไม่ตอบ เราจะเรียกนายว่า ‘ธงชัย’ นะ” ชาวประมงบอก

ส่วนหนึ่งจากภาพยนตร์ ‘กระเบนราหู’ โดยพุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของแรงงานข้ามชาติและสถานการณ์ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา ผ่าน 2 ตัวละคร ‘ชาวประมง’ ที่ไร้ชื่อ และ ‘ธงชัย’ ที่ไร้เสียง

การที่ผู้กำกับเลือกไม่เปิดเผยตัวตนของตัวละคร ก็ทำให้เรารับรู้ได้ว่า แม้เราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาจากไหน แต่เมื่อเราได้สัมผัสกับเขา ได้รับรู้การมีตัวตนของอีกฝ่าย เขาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ

เช่นชาวประมงไม่รู้ว่าธงชัยเป็นใคร มาจากไหน หรือไม่เคยแม้แต่จะได้ยินเสียงเขาสักคำ หรือแม้ธงชัยเอง ที่ตื่นขึ้นมาในบ้านของคนที่ไม่รู้จัก และฟังภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง เขาทั้งสองกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกัน 

สัมผัสอีกฝ่ายผ่านลมหายใจและห้วงอารมณ์ที่ห้อมล้อม ท่ามกลางแสงไฟหลากสี ที่ชาวประมงประดับในห้อง หรืองานวัดที่พวกเขาเที่ยวด้วยกัน ทั้งสองหลับตา ปล่อยร่างกายให้แกว่งไสวไปตามเสียงเพลง ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่พวกเขามีร่วมกัน 

แสงหลากสีที่ส่องประกาย คือสีสันที่แต่งเติมในชีวิตมืดมิดของทั้งคู่ บนความมืดมิดในเรือประมง และเส้นทางหนีธรรมชาติ พวกเขาอยู่ในความมืดเดียวกัน คือความมืดที่บดบังไม่ให้ใครมองเห็น เพราะในความสว่าง หากพวกเขาถูกมองเห็น พวกเขาก็อาจถูกรังเกียจ ไล่ล่า และพาไปสู่ความตาย

แต่ในยามที่ท้องฟ้ามืดมิด แสงหลากสีที่ประดับประดา คือช่วงเวลาแห่ง “การมีชีวิต” ที่พวกเขามีร่วมกัน แสงระยิบระยับที่สะท้อนบนใบหน้าของคนทั้งสอง แม้ไม่สว่างจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ แต่ก็ทำให้เขาเห็นกันและกันชัดขึ้น

ชีวิต และความตาย เป็นสิ่งที่ตัวละครทั้งสองต่างสัมผัสร่วมกัน หรือนัยหนึ่งอาจเป็นสิ่งที่คนไร้ตัวตนอื่นๆ ในสังคมนี้มีร่วมกัน

“ในป่าที่ฝังศพคนตาย เมื่อคืนเดือนหงาย หินสีเม็ดใหญ่ๆ จะผุดขึ้นมา สะท้อนแสงจันทร์สว่างไปทั่วป่า แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปหรอก มันน่ากลัว” 

เมื่อชาวประมงหายตัวไป ตามมาพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ร้าวราน  สิ่งที่เหลืออยู่ในหัวใจของคนทั้งสอง คือ ความเศร้าท่วมท้นในร่างกายจนไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ความเศร้านั้น คือ การที่ส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาหายไป

กระเบนราหู ปลาทะเลลำตัวแบนที่ชอบแหวกว่ายอยู่ตามแนวปะการัง ซึ่งบางครั้งก็มาปรากฎที่ชายฝั่งไทย ด้วยขนาดที่ใหญ่ยักษ์ กระเบนราหูจึงถูกชาวประมงเรียกว่า ‘ปลาปีศาจ’ แม้ว่ามันจะไม่สามารถทำอันตรายเราได้ก็ตาม ท่ามกลางป่าปะการังที่มืดทึบ พวกมันหลงไหลในหินสีกลางทะเล ทั้งสีแดง และสีม่วง ที่สะท้อนแสงขึ้นมาเมื่อต้องไฟ

กระเบนราหู คือชีวิตที่ไร้ชื่อ ไร้เสียง มันคือชีวิตของคนคนหนึ่ง ที่ผู้คนเกลียดกลัว และเรียกขานว่า ‘ปีศาจ’ มันคือชีวิตของคนโรงฮิญยา ที่หนีตายออกมาจากพม่า และกลับมาถูกฆ่าที่ไทย และคือชีวิตแรงงานเรือประมงที่ตากแดดฝนจนเจ็บไข้ และอาจถูกพัด หรือผลักตกทะเลได้ทุกเมื่อ กระเบนเหล่านี้ ที่แหวกว่ายอยู่ระหว่างการอยู่รอดและความตาย ต่างรอคอยแสงหลากสีที่เรืองรองออกมา แสงนั้นคือ “การมีชีวิต” ที่เหล่ากระเบนราหูจะดึ่มด่ำร่วมกัน เห็นใบหน้าที่ผ่องแสงของกันและกันมากขึ้น แม้ในเวลาอันสั้นก็ตาม

มนุษย์บนฝั่งไม่มีทางเข้าใจกระเบนราหู มีแต่กระเบนราหูเท่านั้นที่เข้าใจกันเอง

ชาวประมงและธงชัย รวมถึงพวกเราเอง ก็อาจจะเหมือนกระเบนราหูที่แหวกว่ายไขว่หาแสงไฟ และใครสักคน