WEDNESDAY : “ไม่ต้องร้องขอ เเต่มันเป็นสิ่งที่เพื่อนควรทำให้” ถึงจะเกลียดโลกเเค่ไหน ก็ยังต้องการคนที่เข้าใจเรา…  

หัวขบถ วัยต่อต้าน

สิ่งที่เราจะเห็นได้ในตัวละครวัยรุ่นตามหนัง ซีรีส์ต่างๆ  ที่บางครั้งก็สร้างความเวียนหัวให้คนดู จนไม่รู้ว่าทำไมต้องทำตัวแปลกแยกซะขนาดนี้ แต่อาจลืมไปว่าเราเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านี้เหมือนกัน 

วัยรุ่น ช่วงเวลาที่เราอาจได้ค้นหาและเป็นตัวเองมากที่สุด 

เวนส์เดย์ เเอดัมส์ ตัวละครวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในกระแสตอนนี้ จากซีรีส์ Wednesday ฉายทาง Netflix ซีรีส์เเนวดาร์กคอมเมดี้ เล่าเรื่องราวของ เวนส์เดย์ สมาชิกครอบครัวเเอดัมส์ เจ้าของบุคลิกที่คนออกปากว่า “เหมือนใส่ฟิลเตอร์ไอจีตลอดเวลา” ไม่ใช่ฟิลเตอร์ที่ฟรุ้งฟริ้ง แต่เป็นสีดำทะมึน เหมือนภาพถ่ายขาวดำ แสดงถึงนิสัยภายในของเธอที่นิ่งๆ ไม่ค่อยพูดจา แต่พูดทีหนึ่งก็ทำเอาคนฟังบาดใจเหมือนกัน 

และนิสัย ‘ต่อต้านสังคม’ ทำให้เวนส์เดย์ต้องเปลี่ยนโรงเรียน 8 ที่ใน 5 ปี จนมาถึงที่ล่าสุดสถาบัน ‘เนเวอร์มอร์’ ที่พ่อแม่ของเธอเป็นศิษย์เก่า

เนเวอร์เมอร์เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีพลังพิเศษ หรือเผ่าพันธุ์อื่นนอกเหนือจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเเวมไพร์ มนุษย์หมาป่า ไซเรน คนพลังจิต เป็นต้น

แม้จะย้ายมาที่ใหม่ แต่เวนส์เดย์ยังคงเป็นเวนส์เดย์ที่ไม่ต้องการปรับเปลี่ยนอะไร นั่นทำให้เธอค่อนข้างลำบากเมื่อต้องใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนรูทเมทอย่าง ‘อีนิด’ มนุษย์หมาป่าที่มีบุคลิกแตกต่างจากสายพันธุ์ตัวเองลิบลับรวมถึงเวนส์เดย์ อีนิดเหมือนมีสายรุ้งอยู่รอบตัวตลอดเวลา ทั้งสองเหมือนเป็นขั้วตรงข้ามของกัน เเละกัน เเน่นอนว่าเวนส์เดย์ไม่ชอบอีนิด เเละถึงเเม้อีนิดจะพยายามเข้าหาอย่างไร เเต่เวนส์เดย์ก็ยังคงไม่เปิดใจให้กับอีนิดอยู่เสมอ

“ห้องฝั่งเธอเหมือนสายรุ้งอ้วกเเตกเลย” คำพูดที่เวนส์เดย์พูดเเทนความรู้สึกหลังได้เห็นการตกเเต่งห้องฝั่งของอีนิด สีสัน เเละตุ๊กตามากมายที่กองอยู่บนเตียงของอีนิดมันทำให้เธอปวดหัว

ด้วยความเป็นเวนส์เดย์ที่ชอบมองโลกด้านลบ เเละยึดมั่นในตัวเองสูง เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เธอเลือกทำตัวเย็นชาใส่อีนิด แต่ไม่มองข้ามที่จะใช้ประโยชน์จากความเป็นเพื่อนที่อีนิดมีให้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ โดยไม่เเคร์ความรู้สึกของอินิดเเม้เเต่น้อย

เเต่ถึงอย่างนั้นคนทุกคนก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องการขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ในหลายครั้งการเชื่อเเละมั่นใจตัวเองสูงทำให้เวนส์เดย์ตัดสินใจผิดพลาด หรือเกือบพาเพื่อน ๆ ในกลุ่มรวมทั้งอีนิดเองได้รับอันตราย เเละหลายครั้งที่รูมเมทอย่างอีนิดให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งเเก้ต่างกับครูใหญ่ให้เวนส์เดย์พ้นโทษ บอกเพื่อนคนอื่นในโรงเรียนให้มองเวนส์เดย์เป็นเพื่อน หรือร่วมสืบเรื่องลี้ลับทั้งๆ ที่เธอเองก็เป็นคนขี้กลัว 

“ไม่ต้องร้องขอหรอก เเต่มันเป็นสิ่งที่เพื่อนควรทำให้” อีนิดพูดกับเวสน์เดย์หลังจากเธอเอ่ยปากบอกว่าไม่ได้ขอให้ใครมาเข้าใจ หรือพยายามปกป้องกับเธอ 

ไม่ว่าจะเป็นคนปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกอย่างเวนส์เดย์ หรือพร้อมเปิดใจเปิดรับทุกคนเข้ามาอย่างอีนิด สิ่งที่พวกเขาเลือกเป็นอาจจะมาจากสัญชาตญาณ ประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา สอนพวกเขา เช่น เวนส์เดย์ที่มีปมจากการโดนบูลลี่ในวัยเด็ก คนรอบข้างมักเรียกว่าเธอเป็นตัวประหลาด สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้เธอเลือกจะปิดกั้นตัวเองจากคนอื่นๆ การจะเปิดใจรับใครสักคนคงไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แม้เขาจะแตกต่างจากคนที่เคยทำร้ายเธอมากเเค่ไหน

อีนิดเองที่ภายนอกสดใสมองโลกในเเง่บวก เเต่ภายในเธอกลับหม่นหมองจากความกดดันที่เเม่คาดหวังให้เธอกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าให้ได้ เพราะถ้าเธอไม่สามารถทำได้ย่อมส่งผลต่อหน้าตาของครอบครัว เเต่แม่อาจมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความรู้สึกของลูกสาวตัวเอง ทำให้อีนิดเข้าใจคนหัวอกเดียวกันอย่างเวนส์เดย์ คนที่ต้องใช้ชีวิตโดยมีปมบาดแผลที่ได้รับจากคนอื่นตามติดเป็นเงา

“อีนิดเป็นคนที่สามารถดึงประกายความอบอุ่นในตัวเธอออกมาได้”  มาริลิน ธอร์นฮิล อาจารย์ผู้ดูแลหอพักที่เวนส์เดย์ เเละอีนิดพักอาศัย พูดกับเวนส์เดย์ครั้งที่เธอทะเลาะกับอีนิด เเละเป็นอีนิดที่ขอย้ายรูมเมทตลอดการศึกษาที่เหลือ

ความเข้าใจหัวอกซึ่งกันเเละกันเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองคน เวนส์เดย์เริ่มเปิดใจให้อีนิดทีละนิดๆ โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัว เเละยังเป็นอีนิดเองที่สามารถเจาะผ่านกำเเพงน้ำเเข็งเข้าไปในจิตใจของเวนส์เดย์ ทำให้ตัวเวนส์เดย์เองมีสีอื่นนอกจากสีดำถึงเเม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ก็ตาม

“ทุกครั้งที่ฉันคลื่นไส้เมื่อเห็นสีรุ้ง หรือได้ยินเพลงป๊อปจนกระทั่งเลือดออกหู….ฉันจะคิดถึงเธอ ประโยคบอกรักจากคนอย่างเวนส์เดย์ที่มีให้เพื่อนเช่นอีนิด การเเสดงออกกันฉันเพื่อนไม่จำเป็นต้องกอด หรือพูดประโยคชวนหวานเลี่ยนใส่กัน เเต่เพียงเข้าใจกันและกัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นใคร จะทำตัวร้ายกาจ หรือยอมให้คนทั้งโลกมองตัวเองเป็นตัวประหลาดอย่างไร ในท้ายที่สุดสิ่งที่ทุกคนควรได้รับคือใครสักคนที่เข้าอกเข้าใจ รับฟังโดยไม่ตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก พร้อมซัพพอร์ต เเละช่วงพยุงในวันที่เราอ่อนเเอ เพราะในวันที่มืดมนที่สุดในชีวิตขอเเค่มีเพียงเพื่อนที่คอยนั่งเคียงข้าง เเละบีบมือให้กำลังใจเท่านี้ก็เพียงพอเเล้ว 

THE END?