สูงส่งแค่ไหนเราต่างไม่มีวันสมบูรณ์

มันจะมีสักกี่เหตุผลในชีวิตที่ทำให้ตัวเองเลือกกินนมบูด

ฝ่ายขายสาม ที่มี ‘โอซังชิก’ เป็นหัวหน้า  รองหัวหน้าคือ ‘คิมดงชิก’ และ ‘จางกือเร’ พนักงานชั่วคราว เลือกที่จะทำอย่างนั้น จะได้ใช้ข้ออ้างว่าป่วยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อจะปฏิเสธงานสีเทาๆ 

นั่นเป็นเรื่องราวช่วงกลางๆ ของซีรีส์ Misaeng : Incomplete Life ที่เล่าบรรยากาศการทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ที่เต็มไปด้วยการแข่งขัง กดดัน และเหยียดทุกอย่างทั้งประสบการณ์ การศึกษา รูปร่าง เพศ ฯลฯ 

ล่างสุดของห่วงโซ่บริษัทคือ พนักงานชั่วคราวอย่างจางกือเร แถมการไม่ได้จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยใดๆ แต่เข้ามาทำงานได้ด้วยการเทียบวุฒิ ยิ่งทำให้จางกือเรแทบจะกลายเป็นสูญญากาศในออฟฟิศ

การเป็นคนตัวเล็กที่สุดในองค์กร ไม่ว่าจะ SME หรือ บริษัทมหาชน โดยไม่ต้องมีใครมากดดัน มันก็กดตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่วันแรกของการทำงาน 

ยิ่งพอทำพลาด ขนาดความผิดนั้นก็มักจะสวนทางกับตำแหน่งเสมอๆ

จางกือเร จึงต้องตื่นเช้ากว่าและกลับบ้านดึกกว่าคนอื่นแทบทุกวัน 

แต่ในเมื่อคนเขียนบทยกบทนำให้พนักงานชั่วคราวนี้ จึงมีบทเรียนมากมายเข้ามาทดสอบให้จางกือเรได้หกล้มหัวคะมำ ปีนหน้าผาแล้วตกลงมาสาหัส พุ่งทะยานอย่างจรวดจนคนขัดขา แล้วก็กลับลงมากินนมบูดกับซาจังนิม(แปลว่าหัวหน้า) 

แต่ทั้งหมดคือการเรียนรู้ และชีวิตยี่สิบตอนของจางกือเรสอนให้เรารู้ว่า…..

1.ใจกลางทอร์นาโดนั้นสงบ 

คนโมโหตรงหน้าคือทอร์นาโด ถ้าจะเข้า อย่าเดินเข้าไปเอาตัวให้อยู่วนหมุนอยู่ในวงกลม แต่จงกระโดดให้สูงเพื่อข้ามความขุ่นมัวและเหวี่ยงทุกอย่างเข้าไปอยู่ในใจกลางให้ได้ เพราะใจกลางทอร์นาโดนั้นสงบ และอาจเห็นว่าจริงๆ แล้ว ความเศร้าต่างหากที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น

2.ขายงานให้คนที่ไม่อยากขายให้มากที่สุด 

กือเรได้เงินมา 100,000 วอนจากหัวหน้าให้เอาไปซื้ออะไรก็ได้มาขายและต้องมีกำไรกลับมา งานนี้กือเรต้องไปกับ ‘จางแบกกี’ เพื่อนรุ่นเดียวกันต่างแผนก และตัดสินใจซื้อถุงเท้าราคาถูกจากตลาดนัดมาขายต่อ 

แบกกีถูกหัวหน้าเก่าตอกหน้าหงายกลับมาเพราะไม่รับซื้อ เช่นเดียวกับกือเรที่ล้มไม่เป็นท่าจากการขายดื้อๆ ให้คนในรถไฟฟ้าทั้งที่มีกฎห้าม ทั้งคู่จึงตัดสินใจไปยืนขายหน้าซาวน่าให้ลูกค้าที่กำลังหาถุงเท้าใหม่ไว้เปลี่ยนหลังอาบน้ำ

ทั้งคู่ไม่อยากขายจนต้องดื่มย้อมใจ สุดท้ายขายหมดเพราะความกล้าและได้ลูกค้าตรงกลุ่ม

3.เวลาเผชิญปัญหา จงเพิ่มความเย็นแต่ลดความร้อน 

ถึงแม้หัวหน้า ลูกค้า หรือเพื่อนร่วมงานจะงี่เง่าและไร้เหตุผลแค่ไหน ถ้าทำได้ พยายามรักษาความนึกคิดให้เย็นและหัวใจให้อบอุ่นเข้าไว้ และ “ความสนุกกับงานจะทำให้หัวใจอุ่นขึ้น” ​ควอนฮุง รุ่นพี่อีกคนในแผนกแนะนำกือเร

4.รักตัวเองก่อนถึงจะรักครอบครัวได้ 

ซอยจียอง หัวหน้าแผนกหญิงคนเดียวในบริษัท ถูกสามีที่ได้เลื่อนตำแหน่งขอร้องแกมบังคับให้ลาออกจากงานเพื่อดูแลลูกและบ้าน แต่เพราะความรักและรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองในงานที่ทำ จียองจึงไม่ยอมและทำงานหนักมากกว่าเดิมจนล้มป่วย ทำให้เพื่อนร่วมงานอย่างโอซังชิกต้องยื่นมือเข้ามาช่วย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นสามีใหที่ภรรยาไม่ได้ทำงานแต่ดูแลลูกอยู่ที่บ้านเช่นกัน 

5.เมื่อถึงทางแยกหรือสิ่งที่ต้องเลือก จงสนใจเรื่องที่คิดว่าถูกต้องก็พอ 

ใกล้หมดเวลาพนักงานชั่วคราวของกือเร หัวหน้าอย่างโอซังชิกพยายามทำทุกวิถีทางให้บริษัทแก้กฎระเบียบให้พนักงานชั่วคราวสามารถขยับขึ้นเป็นพนักงานประจำได้ ไม่ว่าวิธีนั้นจะหมิ่นเหม่ต่อเส้นศีลธรรมแค่ไหนก็ตาม

“ทำในสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้องก็พอ” ภรรยาโอซังชิกพูดประโยคนี้มาพร้อมกับยืนแก้วน้ำเปล่ามาให้ และไล่ให้สามีเข้านอนด้วยคำนี้

“เพราะที่เหลือมันเกินความสามารถที่เราจะควบคุมได้แล้ว” 

Misaeng ภาษาเกาหลีแปลว่า ผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในที่นี้แปลว่า พนักงานยังไม่พ้นโปร ซึ่งก็คือชีวิตของจางกือเร ที่เริ่มต้นด้วยต้นทุนที่คนอื่นมองว่าต่ำกว่ามาตรฐาน 

แต่ถ้ากือเรมองตัวเองด้วยแว่นเดียวกัน แล้วเอายูนิฟอร์มพนักงานชั่วคราวมาสวมไว้ตลอดเวลา คงไม่ได้ชิ้นงานโบแดงที่สแลงใจเพื่อนร่วมงาน และอย่างน้อยโอซังชิกคงไม่หลุดปากพูดออกมาว่ากือเรคือ “เด็กของผม” เช่นเดียวกันเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ คงไม่ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ 

แต่หลายต่อหลายครั้ง จางกือเร โอซังชิก และเราเองก็ต้องแพ้ให้แก่สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ 

และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้นั่นแหละเป็นตัวบอกเราว่า ต่อให้สูงส่งระดับประธานกรรมการยังร่วงหล่นเหมือนอินทรีย์ปีกหักได้  นกหัดบินได้ประเดี๋ยวประด๋าวอย่างจางกือเรก็ยังไม่แกร่งพออย่างนางนวลโจนาธาน ลิฟวิงสตัน 

“ทำสิ่งที่นายถนัด อดทน เชิดหน้าไว้ และยืนให้มั่นคง” คือคำแนะนำตอนท้ายที่โอซังชิกมอบให้เด็กของเขาอย่างจางกือเร