“เลิกเรียนกลับโรงหนัง”
สำหรับ ‘แก๊ป’ อนันตา ฐิตานัตต์ การใช้ชีวิตในโรงหนังตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุสิบห้า มันก็น่าจะเป็นคำตอบที่มีน้ำหนักพอต่อคำถามว่า ทำไมถึงหยิบกล้องไปถ่ายวันแรกที่โรงหนังสกาล่าถูกทุบรื้อ
จะบอกว่า หวนคิดถึงวันเก่าหรือ nostalgia ก็อาจใช่ แต่คนที่กินนอนในห้องใต้ทางผ่านท่อแอร์ของโรงหนังเกินสิบปี วันธรรมดาเลิกเรียนต้องรีบกลับไปให้ถึงโรงหนังภายใน 20 นาทีเพราะพ่อสั่ง เสาร์อาทิตย์ดูหนังฟรี เสาร์อาทิตย์บางครั้งก็ไปยืนอ่านหนังสือร้านดอกหญ้า….
“เสื้อก็ใส่เสื้อยืดโปรโมตหนังที่เขาแจก ได้กินขนมบ่อยๆ เพราะตอนอยู่สยามก็จะมีร้านขนมมาเปิด มีคนเอามาให้ อย่างโรตีบอย ร้านโดนัทแต่ก่อน ขายไม่หมดเค้าก็เอามาแบ่งให้พนักงานที่โรงหนังกิน เราเลยได้กินด้วย”
ฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าการทำหนัง เรื่อง SCALA ที่ระลึกรอบสุดท้าย ของหญิงสาววัยสามสิบเศษคนนี้ เพียงเพื่ออยากเก็บกอดอดีตไว้ไม่ให้ไปไหน หรือขวางการเปลี่ยนแปลงที่ใครๆ ก็รู้ว่ามันนิรันดร์ ก็คงจะเป็นการหมิ่นแคลนเกินไป

ถึงบทสนทนานี้แก๊ปจะไม่ได้บอกว่าโรงหนังคือบ้าน แต่พอถึงคำถามวัยเด็กว่า “กลับบ้านดึกได้มั้ย” แก๊ปตอบทันทีว่า ไม่ได้ กฏเหล็กของพ่อคือ เลิกเรียนต้องถึงบ้านภายใน 20 นาที
ถึงโรงหนังภายใน 20 นาที? เราถามย้ำเพื่อทวนคำตอบ
“ใช่ พ่อกลับมาจากทำงาน แก๊ปต้องอยู่ในบริเวณโรงหนังแล้ว”
โรงหนังสำหรับแก๊ป ไม่ใช่ที่ทำงาน แต่ก็ไม่ใช่บ้าน
“เราไม่รู้ว่าบ้านเป็นยังไง แต่สำหรับเรา โรงหนังคือที่อยู่”
ความคิดที่จะทำสารคดีเรื่องนี้มันมาจากไหน
เริ่มตั้งแต่ที่เขาประกาศในกลุ่ม SaveScala (Facebook) ว่าจะถอดโคมไฟ แล้วเรารู้สึกทะแม่งๆ เลยหยิบกล้องไปถ่าย กลัวจะพลาดไม่ได้เห็นในสิ่งที่เราเคยเห็น ไปวันแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะถ่ายอะไรหรอก เก็บภาพไปก่อน เรื่องราวมันเข้ามาเองในวันที่ถอดโครง มีคนเข้ามาคุย มาถาม แล้วเราก็รู้วันนั้นว่าคนที่ถอดเก้าอี้ ถอดรายละเอียดต่างๆ ก็คือคนงานพม่าจากสวนนงนุชกับลุงๆ ที่ทำงานในโรงหนังนั่นแหละ ซึ่งตอนแรกเราคิดว่าเขาจะจ้างคนข้างนอกมาทำ
แล้ววันที่ไปไม่มีใครตั้งกล้องถ่ายวิดีโอเลย เราเลยคิดว่าถ่ายเก็บไว้ก่อนดีกว่า แล้วเราเป็นคนเดียวที่เข้าไปแล้วไม่โดนไล่ออกมา ก็เลยอยู่ถ่ายเก็บภาพไปเรื่อยๆ
ความรู้สึกทะแม่งที่บอกเมื่อกี๊ พอจะบอกได้มั้ยว่าเป็นความรู้สึกยังไง
เหมือนจุฬาฯ บอกว่าจะไม่ทุบ จะรักษาไว้หรือจะสร้างคร่อมส่วนหน้าเดิมของสกาลา กับรูปปั้นเอเชียฮอลิเดย์ไว้ แต่เราก็รู้สึกว่าถ่ายไว้ก่อน เผื่อมันจะมีคุณค่าหรือว่ามีประโยชน์ขึ้นมา ให้คนได้เห็น เกิดจะต้องทุบขึ้นมาจริงๆ จะได้มีหลักฐานได้ว่ามันมีคุณค่าที่จะเก็บรักษาเอาไว้ แล้วพอเราตัดต่อ ยังไม่ทันเสร็จ ก็ทุบก่อนกำหนด ตอนแรกคิดว่าสัญญาจะถึงปลายปี แต่ตุลาก็ทุบแล้ว ทุกคนในนั้นอย่างร้านเย็บผ้าที่อยู่ชั้นสองบอกว่าปลายปีหมดสัญญา เขาถึงจะออก พอเราไปถึง เขาออกไปแล้ว มันเร็วกว่าที่เขาคิดด้วยซ้ำ เราก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน
ตอนแรกไปด้วยความรู้สึกโกรธ แล้วพอไปจริง เราเจอว่าคนที่รื้อถอนเป็นคนที่เรารู้จักทั้งนั้นเลย ความรู้สึกตอนนั้นมันค่อยๆ เปลี่ยนไปมั้ย
วันแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แล้วเขาก็ดูสนุกสนานกัน ไม่ได้ดูเศร้าเลย เขาเพิ่งเจอหน้ากันหลังจากหยุดช่วงโควิดระบาดไปสักพักหนึ่ง ก็เลยเหมือนตื่นเต้นกัน
เขาทำงานไป พูดเล่นกันไป เล่าเรื่องตลกโปกฮา นั่งดูเขาเรื่อยๆ ก็สนุกดีนะ ก็เลยนั่งดูไป ถ่ายไปด้วย

เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยเหรอ
จริงๆ น่าจะเศร้า หลังจากที่โรงหนังหมดสัญญา เราว่าเขาเครียดมากกว่าคือหลังจากนี้ ไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องกลับบ้านต่างจังหวัดหรือป่าว บางคนกำลังหางานใหม่ บางคนยังไม่รู้จะทำอะไร บางคนกลับไปเลี้ยงหลานเฉยๆ แต่ละคนมูฟออนไม่เหมือนกัน
มากกว่าการไปเก็บภาพเก็บบรรยากาศ มันคือการได้ไปเจออะไรในวัยเด็กบ้างไหม หรือเจอเรื่องอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
บรรยากาศโรงหนังสกาล่า มันทำให้เราลิงค์กับบรรยากาศของโรงหนังสยาม การไปสกาล่าทำให้เรานึกถึงเรื่องราวในตอนเด็ก ซึ่งเราพยายามลืมมันไปแล้ว
ไปถ่ายตอนถอดเก้าอี้ เจอบุหรี่ เจอเหรียญ เราก็เซอร์ไพรส์เหมือนกัน มันอยู่ถึงตอนนี้เลย เป็นสิบๆ ปีแล้ว เขาทำความสะอาดไม่เกลี้ยงเหรอ
มันเป็นโรงหนัง stand alone ที่ดีที่สุดที่เหลือในเซาท์อีสเอเชียแล้ว เราแค่อยากไปใช้เวลากับมันเป็นครั้งสุดท้าย คิดแค่นี้ แล้วตอนเด็กๆ เราก็เคยมาดูหนังที่นี่เหมือนกัน มันทำให้เรานึกถึงอดีตไปด้วยซึ่งบางทีเราไม่อยากคิด แต่มันก็ทำให้คิด มีทั้งเรื่องดีเรื่องไม่ดี
คุณพ่อของแก๊ปทำงานฝ่ายไหน
เท่าที่รู้น่าจะเริ่มจากเป็นเด็กเดินตั๋ว ถือฟิล์มไปกองเซนเซอร์ จนเป็นคนหิ้วฟิล์มหนังไปส่งตามโรงหนังในห้าง
ตอนนั้นแก๊ปใช้ชีวิตอยู่กับใคร
อยู่กับพ่อค่ะ เวลานอนก็จะมีห้องเล็กๆ ในห้องฉาย เป็นห้องใต้ทางผ่านท่อแอร์ เวลาอื่นก็อยู่รอบๆ บริเวณโรงหนัง ไม่อยู่ออฟฟิศ ก็ดูหนัง ไม่ก็นั่งเล่นที่ห้องตั๋วอยู่กับป้า ป้าชอบพาเดินเที่ยว ไปมาบุญครอง ไปกินข้าว
เราเป็นเด็กคนเดียวในนั้นมั้ย หรือมีลูกหลานคนอื่นๆ ด้วย
เคยเห็นเด็กคนอื่นเหมือนกัน แต่เหมือนเขาไม่ได้มาอยู่ แค่มาเที่ยว น่าจะเป็นลูกๆ หลานๆ ของอาๆ ลุงๆ
อยู่อย่างนั้นจนถึงอายุเท่าไหร่
สัก 15 มั้ง เพราะม.ปลายเขาบอกว่าเราโตเป็นสาวแล้ว ควรจะอยู่บ้าน ก็เลยไปอยู่บ้านอา แต่ก็ยังไปๆ มาๆ เพราะไปดูหนังแล้วก็ไปหาป้าที่ออฟฟิศด้วย เขาเป็นเหมือนแม่ไปแล้ว สักพักป้าเลขาก็ชวนไปอยู่ด้วย
เพื่อนๆ สมัยมัธยมก็อยู่แถวนี้กัน?
ใช่ บางคนก็อยู่ในสลัมหลังวัด บางคนเป็นลูกหลานตำรวจเพราะมีสถานีตำรวจอยู่ตรงข้ามโรงเรียนวัดปทุมวนาราม


หนังเรื่องแรกที่ดูที่สกาล่าคือเรื่องอะไร
จำไม่ได้ มีหนังอะไรเข้าก็ดู
คือดูหมดเลย?
จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าดูอะไรไปบ้าง ไม่ได้จำชื่อผู้กำกับ ไม่ได้จำชื่อหนัง ไม่จำอะไรเลย จำได้แค่พลอทคร่าวๆ เหมือนดูทีวี คนอื่นอาจจะดูทีวีแต่เราดูหนัง
แต่ก็ไม่ได้ทุกเรื่องที่ดูในโรง เราจะอยู่ในห้องฉายแล้วจะมีช่องมอง เบื่อๆ ก็ไปนั่งดูตรงนี้ เมื่อก่อนที่สยามเหมือนมีเตียงนอนสระผมอันนึง อยู่ตรงริมช่องหน้าต่างตรงที่ฉายหนัง เราก็ไปนอนดูตรงนั้นแหละ เรื่องที่เขาไม่ให้ดูในโรงเราก็ดูตรงนั้น
เรื่องอะไรบ้างที่เขาห้ามเราไปดู
หนังโป๊ จำได้ว่าสุกัญญา มิเกล เล่น ตอนนั้นคือจำได้แม่นเลยว่าโดนสั่งห้ามเข้าไปดูในโรง แต่เราก็จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร
กับพ่อ สนิทกันมั้ย
สนิทกับป้าๆ มากกว่า เจอพ่อแค่ตอนกลับมานอน ตอนเช้าพ่อไปทำงานเรารู้สึกเหมือนมีอิสระ ก็ไปไหนตามใจชอบได้
พ่อได้พูดเรื่องงานให้ฟังบ่อยหรือเปล่า
ไม่ค่อยได้พูดกันเท่าไหร่
พ่อได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องไม่มีสกาล่าบ้างมั้ย
ไม่เลย
คุณพ่อได้ดูหนังของแก๊ปมั้ย
ดูแล้ว ปลื้มปริ่ม

เห็นในหนังมีแมวตลอดเลย?
ใช่ อยู่บนดาดฟ้าเยอะมาก มีเป็นสิบเลยบนหลังคา มาจากไหนก็ไม่รู้
บางทีเขาเอามันใส่กระสอบไม่ให้มันเห็นทางแล้วเอาไปทิ้งที่อื่นมันก็กลับมาที่เดิมได้ด้วย เก่งมากเลยค่ะ
ได้เล่นกับแมวมั้ย
ตอนเด็กไม่ได้เล่น เหมือนมันเป็นตัวปัญหาของโรงหนังแล้วทุกคนก็ไม่ให้เข้าใกล้ ห้ามให้อาหาร ห้ามยุ่งกับมัน เราก็เลยได้แต่ดูไกลๆ ไม่กล้าไปเล่น บางทีจะเข้าไปมันก็หนีเราแล้วเพราะมันก็ไม่ได้สนิทกับทุกคน บางคนปาของใส่มัน มันก็ยิ่งกลัวคนเข้าไปใหญ่
ทำไมถึงเป็นข้อห้ามของโรงหนัง แมวเข้าไปทำอะไรบ้างเหรอ
เขาคงกลัวไปทำเก้าอี้ ทำเครื่องฉายหนังเสียหาย เพราะที่สยามทางไปดาดฟ้ามันเชื่อมกับห้องฉายเลย ถ้ามันเข้าไปอาจจะไปพังของที่ใช้ฉายหนัง กลัวฉี่ใส่ฟิล์ม เพราะบางทีฟิล์มก็อยู่ที่พื้น
ทำไมในสารคดีนี้เห็นแมวหลายครั้ง
หลังๆ เราเริ่มเล่นกับแมว เราเอนจอยกับมันมาก พอเวลาไปถ่าย ตอนที่ไม่มีอะไรถ่ายเราก็ไปถ่ายแมว เหมือนเป็นการพัก เรารู้สึกว่าแมวเป็นส่วนประกอบของโรงหนังด้วย
คนก็ถามว่ามีสัญญะอะไรหรือเปล่า แต่เราก็รู้สึกว่าแล้วแต่ คนดูจะคิดว่ามันคืออะไรก็ได้
ตอนนี้โรงหนังมันอยู่ตามห้าง ไม่มีทางที่จะมีแมวหลุดเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่สแตนด์อโลนเหล่านี้ก็อาจจะมีเข้าไปได้ซึ่ง เป็นตัวบอกสภาพแวดล้อมของสถานที่ได้ ถ้าอะไรที่ติดถนน แมวก็เข้าได้
เพราะมันเป็นโรงเปิด ใต้โรงหนังมีห้องเช่าร้านค้า ช่องทางเดินที่อยู่ใต้โรงหนังเป็นทางเดินเปิดโล่ง ใครๆ ก็เข้าไปได้ ตัวอะไรก็เข้าไปได้ มันปิดแค่ตัวโรงหนัง

ในหนังมีเรื่องราษฎร์ประสงค์ด้วย ในมุมมองของแก๊ป โรงหนังมันคือการบันทึกภาพประวัติศาสตร์ด้วยหรือเปล่า
ก่อนสยามไฟไหม้มีเสื้อแดง ตอนนั้นเราถ่ายวิดีโอ เริ่มทำสารคดีบ้างแล้ว เรารู้สึกว่า การเมืองมันอยู่รอบตัวเราตลอดเวลาอยู่แล้ว พอวันที่สยามไฟไหม้ เราช็อก ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนอะไรยังไง มันติดใจ พอเวลาทำหนัง เลยตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องนี้ไปด้วย เราคิดอยู่แล้วว่าเวลามีอะไรเกิดขึ้นรอบโรง เขาก็จะคุยกัน มีคนมาถือป้าย มีคนมาทำนั่นโน่นนี่อยู่หน้าโรง พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเราก็คิดว่าคงมีคนคุยอะไรกันบ้าง เลยคิดว่าน่าจะเก็บบันทึกเอาไว้ว่าคนที่อยู่ในโรงหนังเขาคิดยังไงกับบ้านเมือง
วันที่ฉายที่โรงหนังครั้งแรก (พหลโยธินรามา) พนักงาน ญาติๆ มาดูด้วย เขาพูดอะไรบ้าง
บางคนเขาร้องไห้ บางคนบอกว่าชอบที่ถ่ายอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่สำคัญแต่สำคัญกับเขามาก อย่างหม้อข้าว
สำหรับแก๊ป โรงหนังคืออะไร
ไม่ค่อยอยากเรียกเลยว่าบ้าน แต่ก็เป็นบ้านแล้วแหละ มันเป็นที่ฉายหนัง …บอกไม่ถูก คือที่ทำงานของลุงๆ ป้าๆ คือบ้านของเขา เป็นครอบครัวใหญ่เลยแหละ แต่ในมุมหนึ่งก็เป็นที่ทำงาน เป็นที่อยู่ ทำกับข้าวกินกันบนดาดฟ้าวันปีใหม่
สำหรับคนที่ทำงานในนั้น คิดว่ามันเป็นหลายอย่างนอกจากฉายหนัง อาจจะมากกว่าโรงหนังสำหรับเขา บางทีก็อาจจะสำหรับเราด้วย
เมื่อก่อนตั๋วหนังไม่ได้แพงมาก ใครๆ ก็สามารถเข้าไปดูหนังได้ เรารู้สึกว่าเราอยากไปดูหนังก็ไปได้เลย ซึ่งตอนนี้มันอาจจะถูกเบียดขับออกไปด้วยราคาตั๋วหรือเปล่า แก๊ปคิดอย่างไรต่อเรื่องนี้
ใช่ เมื่อก่อนมีเก้าอี้เสริม เอาเก้าอี้ธรรมดามาวางตรงทางเดิน คือตั๋วมันถูกมากใช่มั้ย ทุกคนดูจ่ายโดยไม่ได้คิดมาก เหมือนกินข้าว เป็นอะไรที่ธรรมดามาก แต่ตอนนี้ควักมาหนึ่งทีคือคิดแล้วว่าหนังมันจะสนุกมั้ย จะคุ้มมั้ยที่ต้องเสียเวลาไปดู
เก้าอี้เสริมเป็นยังไง
เก้าอี้พับธรรมดา เก้าอี้เหล็ก คนก็ยังดู มุมก็ไม่ดี นั่งชิดผนังทางเดิน งงมากเลย อยากดูขนาดนั้นเลย ถ้าเป็นเราเราจะรอให้มันซาๆ ก่อน

ในสารคดีเหมือนจะมีคนถามแก๊ปว่า เป็นนักทำสารคดีแล้วอยู่ได้มั้ย ตอนที่เราได้ยินคำถามนั้นเรารู้สึกยังไง
อยากจะบอกว่าอยู่ยากเหมือนกัน เหมือนกับคนไทยไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูสารคดีแปลกๆ มั้ง ส่วนใหญ่คงจะชินกับสารคดีทีวีมากกว่า พอเป็นทีวีสารคดีก็จะเป็นอีกแนวนึง เขาคงไม่คิดว่ามีสารคดีอีกหลายแบบ
ตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงหนัง เรารู้สึกมั้ยเรื่องฐานะ หรือความแตกต่าง
ก็จนแหละ เราไม่ได้รวย ก็แค่ไม่มีตังค์ ตอนนั้นรู้สึกว่าใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ เฉยๆ
สมัยก่อนโรงหนังแทบไม่มีชนชั้นนะ แต่งตัวยังไงก็ได้ เราก็ใส่เสื้อยืดโปรโมตหนังที่เขาแจก แต่พอจะเข้าไปดูหนังในห้างก็ต้องแต่งตัวนิดนึง กว่าจะถึงโรงหนังก็ขึ้นบันไดเลื่อนตั้งหลายชั้น ตอนอยู่สยามก็จะมีร้านขนมมาเปิด มีคนเอาขนมมาให้ อย่างโรตีบอย ร้านโดนัทแต่ก่อนที่อยู่ข้างสยาม ขายไม่หมดเค้าก็เอามาแบ่งให้พนักงานที่โรงหนังกิน เราเลยได้กินด้วย

เสาร์อาทิตย์เราใช้ชีวิตยังไง
นั่งเล่นในออฟฟิศ ดูหนัง ดูทีวี ไปยืนอ่านหนังสือร้านดอกหญ้า
มันมีส่วนเชื่อมโยงอะไรบ้างที่ทำให้วันนี้แก๊ปมาทำหนัง
ไม่เคยคิดว่าจะมาทำอะไรแบบนี้ แต่พอได้จับกล้อง ถ่ายรูปนิ่งก่อน มันฝึกเราเรื่อง composition เหมือนถ่ายสตรีทก็ต้อง snap จังหวะ จนมาถ่ายวิดีโอก็ใช้ทักษะเดียวกัน ก็เลยรู้สึกว่า น่าจะเป็นเพราะกล้อง
เคยคิดมั้ยว่าอยากทำอาชีพอะไรเกี่ยวกับโรงหนัง
ไม่เคยคิดเลยค่ะ แต่ไม่ได้อยากออกจากโรงหนังไปอยู่ข้างนอกนะ ที่เขาบอกว่าโตเป็นสาวแล้วถึงเวลาที่ต้องออกไปอยู่บ้าน
เราคิดว่าใช้ชีวิตอยู่ในโรงหนังต่อได้ เป็นสาวแล้วทำไม ตอนพ่อพาออก เราก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่แล้วก็ต้องทำตามผู้ใหญ่
แล้วข้างในเรารู้สึกอะไรมั้ย
รู้สึกว่าไม่เห็นต้องออกเลย อยู่นี่ก็สบายดีแล้ว เราอยู่ได้ แฮปปี้จะตาย อยู่บ้านไม่มีอะไรเลย น่าเบื่อ แล้วยิ่งอยู่กับพ่อสองคนนี่เครียดเลย
กลับบ้านดึกได้มั้ย
ไม่ได้ คือเลิกเรียน ภายใน 20 นาทีต้องถึงบ้านแล้ว

ถึงโรงหนัง?
ใช่ๆ เราเลยไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ได้เข้ากิจกรรมอะไร
พ่อกลับมาจากทำงานแก๊ปต้องอยู่ในบริเวณโรงหนังแล้ว
สำหรับเราโรงหนังคือที่ทำงานมากกว่าบ้านใช่มั้ย
สำหรับเราคือที่อยู่
ที่อยู่กับบ้านเหมือนกันหรือเปล่า
ต้องพูดว่าบ้านคืออะไร แต่เรารู้สึกว่ามันคือที่อยู่แหละ
ที่ที่ปลอดภัยกว่าที่อื่น?
เราไม่รู้ แต่พ่อน่ะ ห่วงมาก เพราะผู้ชายเยอะ เวลาป้าๆ กลับไปแล้ว เขาไม่ให้เราออกไปแล้ว แต่สำหรับเราเราไม่รู้สึกว่ามันอันตราย